วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เกย์ เริ่มต้นมาจากตรงไหนของหัวใจ

ใจลอยครับเหมือนไม่มีกะจิตกะใจทำงาน


ขออนุญาตปรึกษาปัญหาความรักครับ ความรักของเกย์ แต่มันจะเป็นรักข้างเดียวหรือปล่าวก็ไม่รู้ ตอนนี้ผมพยายามทำให้ตัวเองกลับมามีชีวิตที่สนุกสนานเหมือนเดิม แต่...อารมณ์แห่งการคิดมากยังครอบครองความคิดของผมอยู่ตลอดเวลา จนไม่มีความสุขในการทำงาน คืองานในหน้าที่ราชการที่ผมใฝ่ฝันมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย

ผมอายุ30ครับอีกไม่ถึงสี่เดือนชีวิตก็จะเข้าสู่วัย31วัยที่มีเลข3นำหน้าไปอีก9ปี และคิดว่าสมควรแก่เวลาที่พอจะมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ในระดับวัยผู้ใหญ่แล้ว แต่เหตุการณ์ในวันนี้ เมื่อผมสำรวจตัวเองแล้วกลับพบว่า ความเป็นผู้ใหญ่ในตัวผมมันช่างมีน้อยนัก จนขาดความมั่นใจว่า "ผมจะผ่านวันนี้ไปได้ด้วยตนเองอย่างไร"

เรื่องราวของผมเกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน ผมเดินทางไปรับราชการที่ต่างจังหวัด เป็นจังหวัดที่ผมเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์แล้วเก็บเอาไปฝันว่าหลงเข้าไปอยู่ในเมืองนั้น แข้งขาไม่มีแรง ต้องกระเสือกกระสนคลานออกมา เกือบหกปีที่ผมฝันประหลาดแบบนั้น และหลุดเสียงร้องจนคนที่บ้านหรือเพื่อนร่วมห้องพักตกใจ ผมจึงตั้งใจว่าวันหนึ่งถ้ามีโอกาสจะเก็บเงินเดินทางไปยังอำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดที่ผมฝันถึง จนกระทั่งต้นปี 2551 ผมอายุ 28 ปี มีโอกาสได้เลือกไปหาประสบการณ์ในการรับราชการที่ต่างจังหวัด ผมจึงเลือกไปยังจังหวัดที่ผมใฝ่ฝันทันที ผมผิดหวังเล็กน้อยที่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่อำเภอเมือง ทั้งๆที่ผมอยากไปอยู่อำเภอที่เป็นเมืองเก่าในความฝัน แต่มีเหตุการณ์บังเอิญเกิดขึ้น หลังจากผมไปอยู่ที่นั่นเพียงสี่วันผมก็พบน้องคนหนึ่งซึ่งอยู่หอพักเดียวกันที่ประสาทสัมผัสของผมบอกว่าเขาเป็นเกย์ ผมเริ่มสืบข้อมูล เค้าอายุ 20 กำลังขึ้นปีสอง และได้พบสิ่งที่ใจผมปารถนาคือน้องคนนี้มาจากอำเภอที่ผมอยากไป ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคุยกับเขาได้อย่างไร แต่ในใจยิ่งมองก็ยิ่งมีความน่ารักทั้งๆที่อายุ28ปีแล้วผมยังไม่เคยคบใครเลยสักคนในชีวิต จนกระทั่งอีกสองอาทิตย์ต่อมาผมทำเรื่องน่าอายที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิตคือปีนแอบดูเขาอาบน้ำ แน่นอน! เค้าจับได้ แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเดินจากไป ผมก็รู้ตัวดีว่าผิดมากๆ แต่อีกสามวันต่อมาผมรวบรวมความกล้าด้วยการเดินไปคุยกับเขาที่ห้องของเขา เขาคุยกับผมดีราวกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย วันต่อๆมาผมก็ซื้อของไปฝากเค้า ทำแบบนี้บ่อยๆ จนกระทั่งผมรู้จักเค้าหนึ่งเดือน ผมก็ซื้อชอกโกแลตไปฝากพร้อมเขียนเล่าเรื่องราวต่างๆและความสำนึกผิดที่แอบปีนดูเค้าอาบน้ำ

จากนั้นวันๆหนึ่งผมก็จะมีโรคประจำตัวคือใจลอย แต่ละครั้งที่ต้องเดินทางออกพื้นที่ไปตามที่ต่างๆด้วยมอเตอร์ไซด์อยากมีเค้านั่งซ้อนท้ายไปเสมอ ช่วงนั้นตอบตัวเองไม่ได้ว่าเค้ามาอยู่ในความคิดผมตอนไหน รู้เพียงแต่คิดถึงเค้าทุกเวลาทุกลมหายใจ เหตุการณ์ผ่านไปอย่างปกติเดือนครึ่ง ทุกเช้าผมจะตื่นนอนก่อนเค้าแล้วมายืนอยู่ที่ระเบียงรอจนเค้าตื่นผมถึงไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน ความที่ทนไม่ไหว จึงได้บอกเค้าว่า ขอจีบนะ อยากเสกให้เค้าเป็นปลาทอง จะได้นั่งมองความน่ารักไปตลอด เค้ายิ้มหัวเราะบอกว่าถ้าอย่างนั้นเค้าขอเสกผมให้เป็นนกกระจิบจะได้ขังไว้ในกรงไม่ให้หนีไปไหน ผมมีความฝันที่ยิ่งใหญ่มากตอนนั้น มันจินตนาการไปไกลเลย จนคืนหนึ่งเค้าขอยืมดูโทรศัพท์ผมแล้วแอบบให้เบอร์โทรศัพท์ ผมดีใจมาก แต่ก็ตามมาด้วยความเสียใจครั้งแรก เพราะหลังจากนั้นอีกสองวันเค้าย้ายไปอยู่หอพักใหม่ แต่เค้าไม่ได้มาขนของเอง มีแต่พ่อแม่เค้ามาผมก็ไม่ได้สนใจ ตอนที่ผมรู้ผมแอบฟังเพื่อนเค้าคุยกัน ผมรู้สึกว่าโลกนี้มืดครึ้มไปหมด สมองอื้อ ไม่รู้จะคิดอะไร รู้แต่ว่าหมดแรง หลังจากนั้นตัดสินใจโทรไปหาเค้าว่าพ่อแม่มาย้ายหอพัก เค้าบอกว่ารู้แล้ว จึงไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร แต่ทำยังไงชีวิตนี้ก็ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นสั้นๆไม่ได้ จึงส่งข้อความหาเค้าทุกเช้า บางวันก็เช้าและกลางคืนด้วย โทรหาบ้างเหมือนกัน

วันเวลาผ่านไปสองเดือน บ่ายวันหนึ่งผมขี่มอเตอร์ไซต์ไปทำงานตามปกติ ช่วงนั้นผมหยุดตกพอดี จึงขี่ไปเรื่อยๆ และได้เจอกับเค้าตอนที่เค้าขี่มอเตอร์ไซต์ออกมาจากมหาวิทยาลัย ผมดีใจมากแล้วต่างคนก็ต่างหยุดทักทาย เมื่อผมถึงสำนักงานผมส่งข้อความถึงเค้าว่าจะเจอกันกี่ครั้งก็ยิ่งน่ารัก จากนั้นผมก็โทรหาเค้าบ่อยขึ้น จนคืนหนึ่งเค้าบอกว่ากำลังอยู่กับแฟน เลยงง ผมทำตัวไม่ถูกจึงหายไป10วัน แล้วเช้าวันที่10นั้นผมส่งข้อความไปหาเค้าบอกว่าคิดถึงที่สุดในโลก เค้าโทรมาหาผมตอนพักชั่วโมงสักสิบโมงครึ่ง ผมถามว่าช่วงนี้ไปเที่ยวไหนบ้าง เค้าตอบว่าไม่มีเพื่อนอยากมีคนพาไปเที่ยว ความฝันของผมมันเจิดจรัสอีกครั้ง ไม่สนใจอะไรเลยคว้ามอเตอร์ไซต์ได้ก็ตรงดิ่งกลับหอพัก โทรชวนเค้าไปกินข้าวเที่ยง แต่เค้าไม่รับสาย จึงส่งข้อความไป เค้าบอกว่ากินข้าวแล้วอยู่มหาวิทยาลัย ผมส่งข้อความและโทรหาเค้าตลอดจนเวลาผ่านไป4เดือน ผมตัดสินใจด้วยการรวบรวมความกล้าชวนเค้าไปออกเดตกินข้าวก็ยังดี เค้าตอบรับ ผมขอไปรับเค้าที่หอพักแต่เค้าอยากให้ไปคนละคัน ผมไม่ยอมขอเถอะนะ อยากไปรับ เค้ายอม เราเจอกันที่สถานีขนส่ง เค้ามีเพื่อนมาด้วยเป็นผู้หญิง ผมเห็นแบบนั้นก็น้อยใจกลัวเค้าจะพาเพื่อนไปด้วย จึงแกล้งบอกว่าผมเดินมา ขอไปเอามอเตอร์ไซต์ พอเดินลับตาก็ขี่มอเตอร์ไซต์กลับโดยที่ตั้งใจว่าจะไม่ไป พอกลับหอพักค่อยโทรมาบอกเค้า แต่พอแวะเติมน้ำมันผมโทรหาเค้าอีกครั้ง เค้าบอกว่ารอผมอยู่เพราะเพื่อนมาส่ง ผมจึงกลับไปรับเค้า คิดว่าหากไม่โทรกลับไปคงพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว และเราก็ได้กินข้าวด้วยกัน แต่ผมกินไม่ได้หรอกรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจบอกไม่ถูก

หนึ่งอาทิตย์ต่อมาผมก็ชวนเค้าไปกินข้าวเย็นอีก เค้าตอบรับ วันนั้นผมพบเขาในท่าทางที่ดูเชยๆเป็นหนุ่มบ้านนอกแต่งตัวน่าขบขัน แต่ยังไงก็น่ารัก ผมสังเกตว่าอีกหลายครั้งต่อมา เมื่อไปกินข้าวหรือดูหนังด้วยกันทีไร เค้าจะทำท่าทางเขินๆน่ารักแบบนี้ทุกที วันนี้เป็นวันที่เค้าคงเขินจัดจนเป็นตระคริว ผมประทับใจมาก เราคบกันจนถึงเดือนพฤศจิกายนปี2551ก็ครึ่งปีละ วันหนึ่งเค้าพาผมไปให้อาหารปลาที่วัดเราไปทำบุญด้วยกัน ผมเสี่ยงเซียมซี ได้ใบที่บอกว่าผมจะได้เจอกับคนที่อยากพบเจอ เค้าแอบอ่านแล้วบอกผมว่าได้เจอแล้วไง เค้าขอเก็บมันไว้ เรานั่งคุยกัน เค้าบอกกับผมได้ยินเต็มสองรูหูว่าตกลงคบกันเพื่อที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผมดีใจมาก คิดว่าพรหมลิขิตมีจริงๆ ผมจำไม่ได้แล้วว่าอาการฝันประหลาดที่ผมตะเกียกตะกายหนีแล้วร้องสุดเสียงมันเลือนหายไปจากจิตใต้สำนึกตอนไหน

มันเริ่มต้นแล้วครับ ผมชวนเค้าไปเที่ยวต่างจังหวัดตามที่ต่างๆที่ผมเคยฝันไว้ว่าถ้ามีแฟนผมจะพาไปไหนบ้าง อยากทำให้เค้าประทับใจ แต่มันติดตรงเรื่องหนึ่งครับ ตอนครั้งแรกที่เราไปเชียงใหม่ ผมมีสัมมนา ผมคิดว่าเค้าคงรู้ว่าถ้าไปกับผมอาจมีอะไรเกิดขึ้นซึ่งก็คือ ตอนนั้นผมขอมีอะไรกับเค้า แต่เค้าไม่ยอม ผมก็งงๆ อึดอัดใจมาก เพราะเวลาคุยกันบอกเค้าเสมอว่าอยากกอด บางทีก็หลุดคุยเรื่องเซกส์ขึ้นมา ก็คิดว่าเค้าน่าจะรู้ดี แต่เมื่อเหตุการณ์มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผมก็ไปส่งเค้าที่สถานีขนส่งให้เค้ากลับไปก่อน เค้าไม่ว่าอะไรขึ้นรถกลับ พอตอนเย็นมีคนโทรศัพท์ถามผมว่าเค้ามากับผมหรือไม่ เพราะพ่อเค้าตามหาอยู่ แต่ห้ามบอกว่ามีคนโทรมาตาม ฟังเสียงดูก็รู้ว่าเป็นเกย์ ผมปฏิเสธแต่ก็คิดว่ารู้เบอร์โทรศัพท์ผมได้อย่างไร ผมรีบโทรไปบอกเค้าถ้าเป็นเรื่องจริงก็มาหาทางออกกัน แต่ถ้าไม่จริงควรมีคำอธิบาย นับแต่นั้นมาผมเริ่มใส่ใจเค้ามากขึ้น ผมหาข้อมูลทุกอย่างบนโลกไซเบอร์ แต่ไม่มีข้อมูลอะไรมากนัก แต่ในโทรศัพท์ของเค้าเองก็ยังเมมชื่อผมแค่เป็น พี่... ผมเลยบอกให้เค้าเปลี่ยนได้ไหม ซึ่งไม่เคยติดตามว่าเค้าเปลี่ยนหรือไม่ ตอนนั้นเริ่มจะผูกมัดแล้ว เวลาไปไหนด้วยกันผมมักจะพยายามมีอะไรกับเค้าให้ได้ แต่เค้าไม่เคยยอมเลย เค้าไม่อนุญาตให้ผมไปหาที่ห้องหรือแม้แต่ไปอยู่ด้วยซ้ำ

จนมาถึงครั้งหนึ่งผมท่าทางเคืองๆไม่โทรหาเค้าหลายวัน เค้าเป็นคนโทรมาหา และผมก็ชวนเค้าไปเดินเล่น กินข้าว ดูหนัง วันนั้นคุยกันเยอะเลย แล้วตอนขากลับผมก็ไม่ได้พาเค้าไปส่ง ผมพาเค้ามานอนที่หอพัก เค้าไม่ว่าอะไร สักพักมีคนโทรศัพท์มา เค้าบอกว่าเป็นพี่สาวมาตาม ผมทำหน้าหงอยๆแต่ก็บอกไม่เป็นไร เค้าลงไปคุยสักพักก็ขึ้นมา บอกว่าเลือกอยู่ที่นี่ แล้วคืนนั้นเค้าก็เป็นของผม แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น ประมาณตีสามเค้าสะดุ้งตื่นเพราะว่าเค้าบอกผมนอนเอามือไปกวนเค้า เค้าเลยลุกหนีจะกลับหอพักตัวเอง ผมก็ขอตามไปด้วย แม้ว่าเค้าจะตะโกนบอกว่าเป็นห่วงรู้ไหม เค้าวิ่งผมก็วิ่ง โรแมนติดมาก พอถึงหอพักเค้าก็ขี่มอเตอร์ไซต์มาส่งผม เราหยุดติดต่อกันเกือบเดือนจนถึงวันลอยกระทง ผมคิดว่าผมคงไม่ได้ไปลอยกระทงเป็นครั้งที่สองแน่ (ผมเคยไปลอยกับเค้าตอนปี2551ไปอธิฐานกระทงอันเดียวกัน) แต่คืนก่อนลอยกระทงเค้าโทรมาหาให้ผมช่วยไปดูเครื่องคอมพิวเตอร์ พอเสร็จภารกิจแล้ว เค้าถามว่าไปลอยกระทงที่ไหน ผมจึงนัดเค้าว่าสองทุ่มพรุ่งนี้พบกันจะมารับ พอถึงวันจริงโทรศัพท์หาตั้งแต่สองทุ่มถึงสี่ทุ่มสี่ครั้ง และครั้งสุดท้ายเค้าบอกว่าเค้าติดธุระอยู่จะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ คืนนั้นผมร้องไห้แล้วคิดว่าจะพยายามทำใจนะ ผมเห็นเส้นทางความพ่ายแพ้แล้ว แต่พออีกวันเค้าโทรหามาปรึกษาเรื่องเรียน ผมก็เปลี่ยนใจ รู้สึกแค่ว่าเรื่องไม่ดีเดี๋ยวมันก็ผ่านไป

ช่วงวันที่5ธันวาคม2552เรามาดูพลุด้วยกันที่ท้องสนามหลวงเดินขาลากสนุกมากเลย ก่อนหน้านั้นคือวันที่4ธันวาคมผมกับเค้ามาพักที่กรุงเทพคืนแรก ผมจะทำอะไรเค้าอีก เค้าไม่ยอมบอกว่าผมหลอกลวงเค้ามาเที่ยว แต่พอตกดึกเค้าเอามือเอาเท้ามาก่ายผม เรากอดกันนอนโดยไม่มีใครหลับตั้งแต่ตีสามจนถึงหกโมงเช้า มีแต่หายใจรดกันนอนพลิกไปพลิกมา ความรู้สึกนั้นมันอบอุ่นมาก ผมจำได้ไม่ลืมเลยครับ เมื่อเราเดินทางกลับเค้าคุยกับผมเรื่องความตายนะ เค้าถามว่าคนที่เรารัก กับคนที่รักเรา อยากให้ใครตายก่อนกัน เค้าแสดงความคิดเห็นนำว่าอยากให้คนที่เรารักตายก่อนเพราะไม่อยากให้คนๆนั้นเสียใจเวลาที่เห็นเค้าตาย ผมไม่ว่าอะไรต่อ จับมือเค้าตลอดทาง ตลอดระยะทาง 360 กว่ากิโลเมตร เพื่อกลับบ้าน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมเริ่มมีความคิดว่าจังหวัดนี้จะเป็นบ้านของผมในอนาคต อ้อ ลืมไปว่าคืนที่สองคือคืนวันที่ห้าธันวาคมนั้นผมขอกอดเค้าอีก เค้าไม่ยอม และคุยบางอย่างว่า มีเพื่อนเค้ามาบอกว่าอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอยากเลี้ยงต้อยเค้าว่าได้เงิน เค้าเป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง มีเงินก็เที่ยวชอบเล่นไพ่ ถ้าผมอยากอยู่กับเค้าก็ควรจะจ่ายค่าหอพักให้ เพราะจะมาตอนไหนก็ได้ เค้าอยากมีเงินใช้เหมือนกัน ต่อไปเขาจะขอเงินผมได้ไหม ตอนนั้นผมโกรธมาก บอกว่าผมไม่ใช่เสี่ยโง่ส่วนเค้าก็ไม่ใช่อีตัว แล้วมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ก็เพราะมันถูกลบไปจากที่เค้าเอาเรื่องความตายมาคุย

พอกลับมาถึงหอพัก ผมเริ่มวาดฝัน เริ่มจินตนาการไปกับโลกที่กำลังหมุนไปอย่างสวยงาม ผมวางแผนตั้งแต่การพาเค้าไปเที่ยวบ้านหาแม่ ผมซื้อของฝากพี่ๆที่ทำงานไปให้พ่อแม่ของเขา คุยเรื่องราวบางเรื่องให้น้องที่ทำงานซึ่งเค้าโตมาด้วยกันให้รับรู้ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผมเป็นคนที่โชคดีที่สุด เค้าเป็นคนดีมากนะ ผมจึงตัดสินใจบวช ผมเริ่มการเก็บเงิน ผมเริ่มวางแผนชีวิตเมื่อเขาอยู่ปีสี่ต้องฝึกงาน ผมชวนมาฝึกงานที่กรุงเทพ เพราะผมว่ามีหนทางการหางานได้สะดวกกว่าโดยอาศัยประสบการณ์ของผม ผมคุยให้เค้าฟัง และลองที่จะจ่ายค่าหอพักเดือนแรกให้เค้า ผมมีความสุขได้แค่สี่วัน เค้ากลับมากินข้าวเย็นด้วย แต่ผมก็รอเค้าทุกคืนจนสามทุ่ม ผมป้อนข้าวให้เค้า หลังจากนั้นต่อมาเค้าไม่อยากนอนที่หอพักเค้า เค้าเคืองผมบางอย่าง เช้าวันหนึ่งผมโทรตาม เค้าบอกให้ผมกลับไปนอนที่หอพักของผมตามปกติ ผมเสียใจมาก แต่ก็ดำเนินตามความหวังและความฝันต่อไป คืนนั้นเองผมอ่านบันทึกประจำวันที่เค้าเขียน ซึ่งไม่เคยเขียนถึงผมเลย เค้าบอกว่าเจอคนหน้าตาดีหลายคนอยากเจอนานๆ ทำให้คิดถึงใครคนหนึ่ง แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นตัวเราไหม จึงได้แต่แขวะว่า หน้าตาผมคงไม่หล่อเร้าใจเหมือนคนอื่นทำให้เค้าไม่สนใจ หลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ต่อมาผมมาเที่ยวที่หอพักเค้าอีกครั้ง ตอนนั้นได้พบกับน้องอีกคนหนึ่งเค้าหล่อมาก เค้าบอกว่าเป็นเพื่อนมารอแฟนและเพื่อนคนนี้ทำงานที่ร้านซเวนเซ่น เพื่อนคนนี้หล่อไหม ผมสนใจไหม จะติดต่อให้ ผมแอบเห็นเค้านั่งบนเตียงคุยกัน เพื่อนคนนั้นถามว่าแฟนเหรอ เค้าบอกว่าเปล่า ครั้งนั้นผมคิดว่าเค้าคงอายจึงไม่ได้คิดอะไร แต่สัมผัสที่หกบอกว่าเค้าแอบชอบเพื่อนคนนี้อยู่ ความคิดของผมเริ่มอ่อนลงเมื่อมีเหตุผลที่เค้าให้ไว้ว่ามารอแฟน แฟนเค้าเป็นผู้หญิง ผมเลยไม่คิดอะไร ลาบวช2เดือน

วันแรกที่ผมกลับจากการลาบวช ผมโทรหาเค้า เค้ากลับบ้านในอำเภอที่เค้าอยู่ เค้าพาไปกินข้าว เดินเที่ยว ส่งผลกลับขึ้นรถเมลล์ที่สถานีขนส่งของอำเภอ ผมประทับใจมาก วันแรกที่ได้เจอเค้า ครั้งนี้ผมมาด้วยความหวังเต็มเปี่ยม เดินทางไปกรุงเทพเพื่อขอผู้ใหญ่ย้ายเข้ามาทำงานในกรมฯ โดยไม่ฟังคำทัดทานจากใครทั้งสิ้น ผมเก็บเงินวางแผนต่อไป และในปลายเดือนมิถุนายนเค้ามาขอให้ช่วยเรื่องเงินซึ่งพี่สาวจะแต่งงานแต่เงินไปพอเค้าต้องการช่วย ผมจึงกู้เงินสวัสดิการให้จำนวนหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งต้องชำระห้างวดๆละ2000บาทพร้อมดอกเบี้ย เหตุการณ์มันดำเนินไปถึงปลายเดือนกรกฎาคมผมเตือนให้ชำระหนี้เค้าก็เลื่อนวัน ผมไม่ว่าอะไรพอเดือนต่อๆมาผมก็ต้องออกเงินตนเองก่อนทุกครั้ง ผมเริ่มที่จะน้อยใจ มองเห็นว่าอนาคตคงไม่เป็นดังหวัง ผมไปหาที่สงบทำใจสักพักไม่ติดต่อกันเป็นเดือน วันหนึ่งเค้าโทรมาหามาปรึกษาเรื่องการฝึกงาน ผมบอกว่าผมจะย้ายไปอยู่กรุงเทพ เค้าบอกแต่เพียงว่าหากมีอะไรให้ช่วยย้ายของขนของจะช่วย ผมเสียใจมากอีกครั้ง เขาไม่สนใจเลย แล้วผมก็ตัดสินใจโทรหาเค้าอีกเพื่อความแน่ใจ ขอให้เค้ามาฝึกงานที่กรุงเทพจะได้ไหม เค้าตอบรับและบอกว่าเมื่อกี้ที่คุยคือไม่กล้าจะขอผม

หลังจากวันนั้นเรามีเวลาอีกสองอาทิตย์กว่าๆเพื่อเตรียมตัว ผมหาที่ฝึกงานให้หลายแห่ง แต่ก็ยังไม่ตรงใจผม จนผมขอฝากหัวหน้าเก่าให้ทำงานอยู่ใกล้ๆ สำนักงานที่ตั้งที่ผมทำงาน ตอนวันก่อนเดินทางเพื่อไปยื่นหนังสือ ผมไปซื้อของที่เค้าชอบ ซื้อของใช้ใหม่ๆสำหรับการไปอยู่ด้วยกัน เราจะไปหาหอพักด้วย ตอนนี้ผมมีพร้อมแล้ว ที่ฝึกงาน เงินค่าหอพัก แต่แล้วฟ้าก็ผ่าลงมาเปรี้ยงกลางใจ เมื่อคืนก่อนกำหนดเดินทางผมเจอภาพเค้ากับเพื่อนคนที่เจอที่หอพัก เป็นภาพคู่รักมีรูปหัวใจ ใส่แว่นตาในภาพยนตร์กวนมึนโฮ มีการเขียนอักษรลงในทรายตอนที่ไปเที่ยวด้วยกัน ผมอธิบายไม่ถูกว่าผมรอดชีวิตจากวันนั้นมาเขียนเรื่องราวนี้ได้อย่างไร ผมโทรไปคุยกับเขา ดูเค้าจะโกรธๆผมมากว่าเอาเรื่องไม่เป้นเรื่องมาพูด ตอนนั้นผมลางาน5วันเลย เย็นวันเดินทางเขาบอกผมว่าเขาเลิกกันแล้ว เขาเลือกผม ผมสัญญาว่าจะลืมให้หมด เราไปจองตั๋วรถกัน ออกเดินทางเที่ยงคืน ผมขอไปเราเขาสามทุ่มเพราะที่หอพักผมปิดสี่ทุ่ม เค้าบอกว่าจะขอซักผ่าอ่านหนังสือเพราะใกล้สอบ ผมไม่ว่าอะไร แต่บอกว่าต่อไปเราต้องแชร์ความรู้สึกร่วมกันมีอะไรให้พูดตรงๆบอกกันได้ จนถึงสามทุ่มเค้าโทรมาบอกว่าให้ต่างคนต่างไปเจอกัน เค้าอยู่หอพักเพื่อน ผมดกรธมาก ไม่ไปไหนทั้งนั้น เค้าโทรมาตาม ผมไม่รับสาย แล้วเอาเบอร์โทรคนๆนั้นโทรมา ผมไม่ไป บอกให้เค้ากลับหอพัก

เวลาผ่านไปสามวัน ผมรู้สึกผิดกลัวว่าจะไปทำลายชีวิตเขาเลยโทรไปหา เค้าบอกว่าได้ที่ฝึกงานแล้ว เค้าคุยกับผมดี วันเสาร์อาทิตย์ผมยังไปเที่ยวหาที่หอ จนวันอังคารเค้าสอบเสร็จผมขอไปกินข้าวที่มหาลัยด้วย เค้าไม่ว่าอะไร แต่พอไปถึงเค้าก็เดินไปโดยไม่สนใจบอกว่าติดประชุม วันนั้นผมซื้อตุ๊กตาเล็กๆที่กดแล้วมีเสียงไอเลิฟยูไปให้เค้าด้วย เค้ารับไป นั่นแหล่ะเป็นครั้งสุดท้ายมี่ผมเจอเค้า พอโทรไปตอนบ่ายสามโมงเค้ามากรุงเทพแล้ว ขนของย้ายของมาหมด หลังจากนั้นผมโทรศัพท์หาเค้าทุกวันส่งข้อความ เค้าก็รับ จนเวลาผ่านไปเดือนหนึ่งเค้าส่งข้อความมาที่ facebook ว่าให้ผมเลิกยุ่งกับชีวิตเขา มันเป็นไปไม่ได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้อ่าน

ตอนปลายเดือนตุลาคมผมเก็บของเพื่อจะย้ายมาทำงานที่กรุงเทพผมยังรู้สึกผิดว่าผมทำร้ายเค้า ผมจึงตัดสินใจโทรหาคนๆนั้นที่เค้าบอกเป็นเพื่อน เค้าเล่าความจริงให้ฟังว่าเค้าคบกันเป็นแฟนตัวจริง อยู่หอพักเดียวกันห้องเดียวกัน ที่มันเจ็บที่สุดคือเค้ามีอะไรกันทุกวัน ผมฟังแล้วนึกถึงทีไรมันแทบจะบ้า แต่ผมหนีจากความรู้สึกตัวเองไม่ได้ สิ่งดีๆในความทรงจำมันมีมากกว่า ผมโทรหาเค้า แต่เค้าบอกผมว่าผมทำอะไรไปเพราะความสะใจ ผมพยายามอธิบายเรื่องต่างๆที่ผมทำจนคิดว่าจะดูแลครอบครัวเค้าต่อไปในอนาคต ผมอยากอยู่บ้านเค้า แต่เค้าบอกว่ามันเป็นแค่คำพูด ผมโทรตามเค้าตลอดวันละไม่ต่ำกว่าสิบสายถ้าไม่มีคนรับสาย

แล้วความจริงก็บอกผมเมื่อผมมาเปิดfacebookดู ผมรู้ว่าเค้าบอกให้ผมเลิกยุ่งกับเค้าก่อนที่ผมจะโทรหาแฟนเค้าเสียอีก ผมหัวเราะนะตอนวันแรกๆ มีกำลังใจสู้ และก็ส่งข้อความไปบอกอำลาเขา บอกว่าผมทำผิดไปจริงๆ

แต่ผมก็ทำไม่ได้ตามที่พูด ผมยังโทรหาเค้าอยู่ เค้าก็รับสาย ... ในหัวสมองผมมีแต่เค้าวนเวียนมาตลอด ... ตอนนี้ผมไม่อยากทำอะไรเลยครับ หนังสือกำลังใจ เพลงกำลังใจ เพื่อนหรือใครก็ตาม ไม่อาจทำให้ผมดีขึ้นได้

แล้วชีวิตผมควรจะ...ทำอะไรดีครับ (พรหมลิขิตมาแบบนี้จริงหรือครับ เรื่องราวในฝันที่ผมตะเกียกตะกายออกจากเมืองโบราณมันเป็นจริงอย่างนี้นี่เอง จริงหรือเปล่าครับ)

อยากให้ความรักของผมมันคือฝันไป...แต่ทำไมผมถึงไม่ยอมตื่นจากฝันเสียที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Search for content in this blog.