วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

Skinhead

สกินเฮด (Skinhead) คือทรงผมติดหนังหัว เริ่มแรกผู้นิยมไว้ทรงนี้จะเป็น หมู่ชนชั้นกรรมาชีพ ในสหราชอาณาจักร ในช่วงยุคทศวรรษที่ 60 (ปลายปี 2503 และพัฒนาเรื่อยมาจนถึงขีดสุดในอังกฤษช่วงปี 2513) โดยได้รับอิทธิพลมาจากพวก รู้ดบอยส์ ใน เวสต์อินดีส์ และพวก ม็อด ในสหราชอาณาจักร

ในทศวรรษถัดมาสกินเฮดแพร่หลายใน ยุโรป อเมริกาเหนือ และทวีปอื่นๆ ต่อมาในช่วงปลายปี 2523 ในสหรัฐอเมริกา เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย พวกสกินเฮดเริ่มเกลียดชังชาวต่างชาติที่อพยพเข้ามาและประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต พวกสกินเฮดจึงเป็นพวกเหยียดผิว นิยมความรุนแรง และมีส่วนในการฆาตกรรมชาวต่างชาติ พวกรักร่วมเพศ ฯลฯ ในเมืองต่างๆของสหรัฐฯ ซึ่งต่อมาก็ได้ที่มาของชื่อสกินเฮด และจะมีลักษณะมีรอยสักตามแขนหรือลำตัว ชอบใส่เสื้อแขนยาวของนักบินและรองเท้าหุ้มข้อ มีเชือกรองเท้าสีสันต่างๆกันเช่น ขาว แดง และ เหลือง

รูปแบบของสกินเฮด

- Traditional Skinhead (อาจเรียกว่า Trads หรือ Trojan Skinheads) : สกินเฮดดั้งเดิม เป็นลักษณะของวัฒนธรรมในหมู่ชนชั้นกรรมาชีพ มีลักษณะการฟังเพลง วัฒนธรรมสไตล์ที่เหมือนกัน

- Oi! Skinhead และ Punk Skinheads : พัฒนามาจาก พังค์ร็อค พวกนี้จะนิยมฟังเพลงแนว Oi! และ พังค์ อาจจะมีรอยสัก มีอุปกรณ์การแต่งตัวเช่น รองเท้าบู้ตสูงๆ กางเกงยีนส์ฟิตๆ ใส่ทีเชิร์ท ใส่แจ็คเก็ต เป็นต้น

- Hardcore Skins : แพร่หลายในอเมริกา ส่วนใหญ่จะฟังเพลงแนว ฮาร์ดคอร์พังค์ เช่นวง Iron Cross, Agnostic Front, Cro-Mags, Sheer Terror, Warzone และ Murphy's Law เป็นต้น เกิดขึ้นในยุค 70s จะแตกต่างจาก Traditional Skinhead ตรงรสนิยมการฟังเพลง

- Gay Skinhead : อาจเรียกว่า Gayskin หรือ Queerskin เป็นอีกรสนิยมหนึ่งของเกย์บางกลุ่ม

สกินเฮดที่มีจุดมุ่งหมายทางการเมือง

- White Power, Nazi Skinheads, Racist : พวกเหยียดสีผิว, ลัทธินาซี

- Anti Racist (SHARP) : พวกต่อต้านพวกเหยียดสีผิวและชนชั้น และ นีโอนาซี

- Left Wing : ต่อต้านผู้ยึดถือลัทธิ Fascism และพวกเหยียดสีผิว และ ชนชั้น

- Right Wings : กลุ่มอนุรักษณ์นิยม และ ผู้รักชาติ ดูเป็นสิ่งปกติในสหรัฐอเมริกา

- Apolitical หรือ Centrist : ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ต่อต้านการเมือง

ตามนั้นครับ

ตำนานดอกกุหลาบ


กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย

ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย

ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิจีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย

กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง

กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ

ขอบคุณ : panmai.com

Search for content in this blog.