วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Is there a soft coral with silica?

สำหรับคำว่า ลูกจ้างประจำ ก็เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำงาน คล้าย ๆ กับข้าราชการ แตกต่างกันเพียงหน้าที่ที่รับผิดชอบ เพราะลูกจ้างประจำ ปัจจุบันแบ่งเป็นหมวด เช่น หมวดแรงงาน หมวดกึ่งฝีมือ หมวดฝีมือ หมวดฝีมือพิเศษระดับต้น หมวดฝีมือพิเศษระดับกลาง หมวดฝีมือพิเศษระดับสูง หมวดฝีมือพิเศษเฉพาะ (ปัจจุบัน รัฐ กำลังปรับเปลี่ยนให้แบ่งเป็นเพียง 4 กลุ่ม ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ) ในสมัยก่อน จะมีกลุ่มคนที่ปฏิบัติงานต่อระบบราชการส่วนใหญ่จะมี 2 ประเภท ได้แก่ ข้าราชการและลูกจ้างประจำ

พนักงานราชการ มีกำเนิด เมื่อ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย พนักงานราชการ พ.ศ. 2547 ซึ่งประกาศ ณ วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2547 โดยนำระบบลูกจ้างสัญญาจ้างสู่ทางปฏิบัติ โดยเป็นการจ้างตามภารกิจของโครงการ เนื่องจากในสมัยก่อน รัฐ มีข้าราชการจำนวนมาก ภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องสวัสดิการต่าง ๆ บำเหน็จ บำนาญ รัฐ ต้องมีการจัดเตรียมให้ ซึ่งเป็นภาระที่ค่อนข้างสูงมาก ตลอดรวมถึง คุณภาพในการทำงานในระบบราชการ ยังไม่เป็นที่พอใจของรัฐมากเท่าที่ควร รัฐจึงต้องปรับเปลี่ยน เป็นพนักงานราชการ ซึ่งเป็นการจ้างตามสัญญาจ้าง เพราะรัฐได้เล็งเห็นจากการทำงานในรูปแบบบริษัท รัฐวิสาหกิจ ที่บุคคลในบริษัท รัฐวิสาหกิจดังกล่าว ทำงานได้ผลงานมากกว่าระบบราชการที่คิดว่า ข้าราชการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม และเพื่อเป็นการพัฒนาบุคลากรให้มีความกระตือรือร้นในการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ คุณภาพมากยิ่งขึ้น จึงใช้ระบบของพนักงานราชการมาใช้กับหน่วยงานของรัฐ แทนอัตราของลูกจ้างประจำที่เกษียณอายุราชการ บางหน่วยงานจะได้พนักงานราชการ แทนอัตราข้าราชการ (แล้วแต่ความจำเป็น)

ซึ่งพนักงานราชการ จะต้องทำสัญญาจ้างทุก 4 ปี สิทธิประโยชน์ในการรับค่าตอบแทนจะได้รับค่าตอบแทนมากกว่าข้าราชการประมาณ 20 % ในทุกเดือน ไม่ได้รับค่าเช่าบ้าน ไม่ได้รับการรักษาพยาบาล เนื่องจากรัฐให้ทำประกันสังคม ไม่ได้รับบำเหน็จ บำนาญ แต่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามที่กำหนด รัฐต้องการให้พนักงานราชการบริหารจัดการตนเอง เช่น ค่าตอบแทนที่ได้รับมากกว่าข้าราชการ 20 % ของทุกเดือน พนักงานราชการก็ต้องเป็นผู้จัดการตนเอง รู้จักเก็บออมเอง คือ พูดง่าย ๆ ว่าให้พึ่งตนเอง เช่น เงินเดือนข้าราชการ ได้รับเดือนละ 10,000 บาท พนักงานราชการ จะได้รับเงินเดือน 12,000 บาท ซึ่งมากกว่าข้าราชการ 2,000 บาท ขอฝากข้อคิดให้กับพนักงานราชการรุ่นใหม่ว่า ท่านลองนำส่วนต่างที่ได้รับในแต่ละเดือน ไปฝากธนาคาร ทุกเดือน จนอายุท่านครบ 60 ปี นั่นแหละคือเงินบำนาญของท่าน ที่คนเป็นข้าราชการยังไม่ได้รับแต่เขาจะไปได้รับในตอนที่เขาเกษียณอายุราชการค่ะ และฝากให้พนักงานราชการทุกคน ทำความเข้าใจ ศึกษาเรื่องของท่านให้มาก ๆ จะได้เข้าใจค่ะ ปัจจุบันไม่มีผู้ใดสามารถบอกเราได้ นอกจากตัวเราเอง ได้ศึกษาหาความรู้จากหลาย ๆ แหล่ง เพิ่มเติมค่ะ ส่วนเครื่องแบบพิธีการของพนักงานราชการ พ.ศ. 2552 ได้ประกาศใช้ เมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 นี้เอง ช่วงนี้คงอยู่ระหว่าง การแจ้งเวียนให้ทราบค่ะ สำหรับผู้เขียนที่ได้นำมาลงให้ทราบ เนื่องจากได้เข้าร่วมประชุมกับสำนักงาน ก.พ. จึงนำมาเผยแพร่ให้ทราบค่ะ

สำหรับ คำว่า "พนักงานมหาวิทยาลัย" เป็นบุคคลที่ทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็น อาจารย์สายวิชาการ สายสนับสนุน โดยได้รับเงินจัดสรรจากรัฐมาในรูปแบบของหมวดเงินอุดหนุน โดยรัฐจัดสรรให้กับมหาวิทยาลัยมาก้อนหนึ่ง เนื่องจากปัจจุบันรัฐให้หน่วยงานของรัฐ คือ มหาวิทยาลัย เกิดความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน ความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ให้ตามความต้องการของมหาวิทยาลัยที่จะทำงานให้สำเร็จลงได้ คือ ให้มหาวิทยาลัยบริหารจัดการตนเอง แต่รัฐจะมาวัดผลงานที่ผลสัมฤทธิ์ของงาน โดยหน่วยงานที่มาวัด คือ ก.พ.ร. ซึ่งจะมาติดตามผลและประเมินผลการปฏิบัติงานทุกปี พนักงานมหาวิทยาลัย ปัจจุบัน จะได้รับเงินที่รัฐจัดสรรให้ในอัตรา 1.7 สำหรับสายวิชาการ และอัตรา 1.5 สำหรับสายสนับสนุน (คือ ข้าราชการ ได้รับเงินเดือน 10,000 บาท พนักงานมหาวิทยาลัยจะได้รับ 17,000 บาท บางมหาวิทยาลัยจะจ่ายให้เพียง 1.5 สำหรับสายสนับสนุน มหาวิทยาลัยจะจ่ายให้เพียง 1.3 ส่วนที่เหลือ .2 จะนำไปเป็นเงินกองทุนให้กับพนักงานมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งเป็นผู้กำหนด จะไม่เหมือนกัน)

สุดท้าย ผู้เขียนหวังว่า พนักงานราชการ หรือผู้อ่านคงจะเข้าใจคำว่า "ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการ และพนักงานมหาวิทยาลัย" แตกต่างกันอย่างไร นะค่ะ ในความคิดของผู้เขียน คิดว่า ทั้ง 4 คำ เป็นประเภทของกลุ่มบุคคลที่ทำงานให้กับรัฐเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย แตกต่างกันตรงสิทธิประโยชน์ ของแต่ละประเภทเท่านั้นเอง แต่บางครั้ง บางคน ชอบใช้อำนาจส่วนตนในการใช้อำนาจในทางที่ผิด จึงทำให้พนักงานราชการเกิดความเข้าใจไขว่เขว อำนาจจะมีไว้ใช้ในทางที่ถูกต้อง แต่บางคนชอบหลงลืมตนไปกับการใช้อำนาจในทางที่ผิด สำหรับการทำงาน จริง ๆ แล้ว อยู่ที่การให้เกียรติซึ่งกันและกัน การเคารพในความอาวุโส การเคารพซึ่งกันและกัน ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ กฎหมายของรัฐและของหน่วยงาน ค่ะ

อย่างไรแล้ว ขอฝากน้อง ๆ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย ไว้ด้วยว่า ถึงแม้เราจะถูกจ้างด้วยการทำสัญญาจ้าง ถ้าเราทำงานอย่างมีศักดิ์ศรี ทำความดีต่อหน่วยงาน ต่อประเทศชาติ ไม่ทุจริต มีความซื่อสัตย์ รักในอาชีพของตนเอง โดยไม่คิดว่างานที่ท่านทำคุ้มกับที่ค่าตอบแทนที่ท่านได้รับหรือไม่ ไม่คิดเปรียบเทียบกับข้าราชการ ลูกจ้างประจำ เกี่ยวกับภาระงานในการทำงาน มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นหลัก ผู้เขียนบอกได้เลยว่า ในอนาคต ท่านก็จะมีประวัติ ความมีศักดิ์ศรีเช่นเดียวกันกับข้าราชการค่ะ ตั้งใจทำงานเพื่อแผ่นดินไทยนะค่ะ ถ้าท่านทำได้ผู้เขียนขอมอบคำว่า "ข้าราชการไทยสายพันธุ์ใหม่" ให้กับพวกท่านค่ะ

.
Life Insurance Knowledge:Life Insurance , private, death, employee pensions and annuities,life insurance, educational, life insurance companies

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Search for content in this blog.