กรรมของคนโกหก
เรื่อง นี้ผมได้ฟังมาตั้งแต่ผมยังเด็กเป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นมาร่วม 100ปี สมัยนั้นราวปี พ.ศ 2459 เป็นยุคสมัยของรัชกาลที่ 6 พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีชายชราวัยราว 60 ปีเศษผมเผ้าขาวโพลน แกชอบนั่งเหม่อลอยอยู่ในศาลาวัดเทพศิรินทราวาส วัดที่รัชกาลที่ 5 พระปิยะมหาราชเป็นผู้ทรงสร้าง แกไม่มีบ้าน ไม่มีลูกเมีย แต่เมื่อดูจากหน่วยก้านชายชราผู้นี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเมื่อครั้งวัยหนุ่มแกเป็นทหารมหาดเล็กหลวงของรัชกาลที่ 5มีหน้าที่เฝ้าเวรยามที่พระราชวังวสวนดุสิต ชายชราเล่าความหลังด้วยแววตาเศร้าสร้อย
ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนสัมภาษแกแต่เรื่องนี้ผมฟังมาจากปู่ของผมถึงที่มาที่ไป ทำไมทหารมหาดเล็กหลวงถึงมีสภาพในชีวิตบั้นปลายอย่างนี้.....
ชายชราเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งสมันหนุ่มแกมีชัวิตที่รุ่งเรือง มีเงินทอง มีหน้าที่การงานที่ดี และมีคนรักที่เกือบจะได้แต่งงานกันอยู่แล้วเชียว แต่...ชีวิตแกต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเพราะ คำโกหก!!! แค่คำโกหกทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้เพียงนี้เลยหรือลองฟังเรื่องนี้ดูครับ
คืนนั้นเวลาราวตี 2 ชายชรายามนั้นเป็นทหารเล็กรักษาพระองค์ของรัชกาลที่ ได้เข้าเวรในกะดึก เมื่อถึงเวลาดึกสงัดทหารมหาเล็กนึกว่าไม่มีใครรู้ใครเห็นเกิดอาการง่วงหาว นอน จึงแกะกัญชาที่แอบห่อไว้มาพันเป็นยาสูบ สูบพ่นควันปุ๋ยๆ เป็นโชคร้ายของทหารมหาดเล็ก ที่ว่ายามนั้นปกติเป็นเวลาบรรทมของรัชการที่ 5 ก็จริง แต่คืนนั้นท่านยังไม่ได้นอน เนื่องจากทรงงานจนดึกดื่น เกิดอาการเมื่อยล้าจึงออกมาเดินเล่นและพระองค์ได้กลิ่นของกัญชาลอยมาจากทาง ทิศใต้ของพระราชวัง พระองค์จึงเดินตามกลิ่นไปจนพบต้นตอ..
ทหารมหาดเล็กไหวตัวทันรีบเหยียบบุหรี่ยัดไส้กัญชา ยืนตัวตรงประหนึ่งกำลังปฎิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชหรือ ร.5ท่านถามทหารมหาเล็กว่าเจ้าสูบกัญชาหรือ?
ทหารกลัวความผิดจึงตอบไปว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้สูบพระเจ้าข้า"
ร.5 ทรงล้วงกระเป๋าเสื้อราชปะแตนของทหารมหาดเล็ก ก็พบห่อกัญชา!!
พระองค์ไม่ทรงว่ากล่าวใดๆ เพียงตรัสคำเดียวว่า "ริยำ" แล้วหันหลังเดินจากไป............
ชายชราเล่าเรื่องราวด้วยน้ำตานองใบหน้า แกบอกว่าถ้าคืนนั้น...ถ้า..แกไม่โกหก แกยอมรับผิด ชีวิตแกก็คงไม่เป็นแบบนี้ เพราะคำตรัสของผู้มีบารมีอย่างเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินนั้นเป็นวาจาสิทธิ์ หลังจากเหตุการณ์นั้นชีวิตแกก็มีอันเป็นไปต่างๆนาเป็นไปในทางตกต่ำ มีเรื่องมีราวจนต้องออกจากราชการทหาร มาทำมาค้าขายก็ขาดทุนย่อยยับ มีครอบครัวก็แตกแยกทะเลาะทุกวี่ทุกวันหาความสุขไม่ได้ ชีวิตมีแต่ความตกต่ำเลวระยำลงไม่มีที่สิ้นสุด..
ชายชราปาดน้ำตาอีกครั้ง แกบอกว่า ณ.วันนี้แกสำนึกในบาปกรรมที่แกก่อแล้ว หากแกโกหกกับคนธรรมดาสามัญผลกรรมคงไม่รุนแรงขนาดนี้ แต่การที่แกโกหกกับผู้มีบารมีบุญญาธิการอย่างรัชการที่ 5 แม้พระองค์จะไม่ได้ลงโทษใดๆ แค่เพียงคำตำหนิว่า "ริยำ" ชีวิตของชายชราก็ตกต่ำเลวลงจนเป็นแบบทุกวันนี้
เรื่องนี้ผมอยากเล่าให้ฟังเป็นอุทาหรณ์นะครับ การโกหกเป็นการผิดศีลข้อ มุสาวาทาเวรมนี ทุกวันนี้คนบางคนโกหกจนเกิดความเคยชิน บางคนคิดว่าการโกหกเป็นหนทางเอาตัวรอดในสังคมปัจจุบัน พึงสังวรณ์ไว้เถิดครับ เวรกรรมมีจริงเพียงแต่ความแรงของกรรมต่างกัน ผลของกรรมก็ต่างกันไป เช่นโกหกพ่อแม่ ผลกรรมก็อาจทำให้ขาดความเป็นคนน่าเชื่อถือ ทำงานที่ไหนก็ไม่มีคนเชื่อฝีมือ ขาดความศรัธทา หรือ ผลกรรมนั้นอาจส่งไปถึงรุ่นลูก เราเคยโกหกพ่อแม่ พ่อแม่ไม่ว่าอะไร แต่เรามีลูกเมื่อไหร่ลูกก็จะกลับมาโกหกเรา เป็นกงกรรมกงเกียวนดังนี้แล...
ที่มา เวปพลังจิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น