พระราชวังไดนอย นครเว้
เว้ (Hue)เป็นเมืองเอกของจังหวัดถัวเทียน-เว้ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และเคยเป็นเมืองหลวง
ในสมัยราชวงศ์เหงียนช่วงปี พ.ศ. 2345-2488 ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำหอมเป็นที่ตั้งของพระราชวังเมืองเว้
หรือพระราชวังไดนอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของย่านประวัติศาสตร์ โบราณสถานและวัดสำคัญ และได้รับการขึ้น
ทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปีพ.ศ.2536
ราชวงศ์เหงียนเป็นราชวงศ์สุดท้
มีกษัตริย์ทั้งสิ้น 13 พระองค์
ในช่วงพ.ศ.2348 กษัตริย์ยาลองซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงียน ได้สถาปนาเมืองเว้เป็นราชธานี
และสร้าง "พระราชวังไดนอย"(Dai Noi ) ขึ้นอย่างใหญ่โตบนเนื้อที่ 52 ตารางกิโลเมตร ริมฝั่งแม่น้ำหอม
โดยยึดเอาแบบอย่างและคติความเชื่อมาจาก "พระราชวังกู้กง"หรือ "พระราชวังต้องห้าม" ที่กรุงปักกิ่ง
ส่วนเหตุผลที่เรียกว่า "พระราชวังต้องห้าม" นั้น เป็นเพราะชาวจีนถือคติในการสร้างวังว่า จักรพรรดิเปรียบ
เสมือนบุตรแห่งสวรรค์ ดังนั้นวังของบุตรแห่งสวรรค์จึงต้องเป็นที่ต้องห้ามสำหรับคนธรรมดาสามัญไม่สามารถ
ล่วงล้ำเข้าไปได้ และผู้ที่เข้ามาทำงานถวายตัวในพระราชวังก็ไม่สามารถออกไปนอกอาณาเขตนครต้องห้าม
ได้อีกเลยตลอดชีวิต
ประการ เพียงแต่ย่อขนาดให้เล็กลงเท่านั้นเอง ดังนั้นพระราชวังไดนอยจึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "พระราชวัง
ต้องห้าม" แห่งเมืองเวียดนาม
ตำหนักไทฮวายังมีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ชาติเวียดนาม คือ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2488
พระราชวังมีกำแพง 2 ชั้น โดยกำแพงชั้นนอกยาวถึง 9,950 เมตร เมื่อผ่านกำแพงชั้นนอกเข้าไปแล้ว
จะเห็นปืนใหญ่ 4 กระบอก ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์ยาลองเช่นกัน โดยเชื่อว่าปืนใหญ่เหล่านี้เป็นปืนของ
เทพเจ้าสร้างขึ้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพของราชวงศ์เหงียน และปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอก มีความหมายถึง
ฤดูกาลทั้ง 4 นั่นเอง
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมีปืนใหญ่อยู่เช่นเดียวกัน แต่มี 5 กระบอก หมายถึง ธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และ
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมีปืนใหญ่อยู่
ทอง ซึ่งธาตุทั้ง 5 นั้น เชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์เราในการดำรงชีวิตอยู่บนโลก และตั้งแต่สร้างปืน
ใหญ่ทั้ง 9 กระบอกมา ยังไม่เคยได้ใช้งานเลยแม้แต่ครั้งเดียว ได้แต่เพียงตั้งโชว์แสดงแสนยานุภาพไว้ เท่านั้น
กำแพงชั้นที่สอง ยาวประมาณ 2,450 เมตร มีสะพานหินทอดไปยังประตูทางเข้ |
ด้านบนประตูมีตัวหนังสือเขี |
ประตูโงมน ศิลปะแบบจีนที่สวยงาม เป็นทางผ่านเข้าสู่พระราชฐานชั้นใน มี 3 ชั้น 5 ช่อง ประตูเข้าออก
แบ่งเป็น ช่องนอกสุดด้านซ้ายและขวาคื |
ถัดเข้ามาทางซ้ายและขวาสำหรั |
ชั้นบนของประตูโงมนนี้เป็นที่ ราชอาคันตุกะที่นี่ และบนชั้นที่ 2 นี้ก็เป็นที่สำหรับนักเรี รับปริญญาจากพระหัตถ์ขององค์กษั ในสมัยนั้น ส่วนชั้นที่ 3 เป็นที่สำหรับพระมเหสีมาดูดาว หรือชมจันทร์ แต่ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ 2 ชั้นแรกเท่านั้น จากประตูโงมน เดินข้ามสะพานหินหยก ตรงไปยัง "ตำหนักไทฮวา" ตำหนักไทฮวาแห่งนี้สร้างขึ้ พระโรงขนาดใหญ่สวยงามมาก เป็นตำหนักที่กษัตริย์จะเสด็ ในสมัยนั้นเวลาเข้าเฝ้ เท่านั้น อีกทั้ง กษัตริย์ทั้ง 13 พระองค์ของราชวงศ์เหวี แห่งนี้อีกด้วย |
ตำหนักนี้เคยเป็นที่ยืนประกาศสละราชสมบัติหรือสละบัลลังก์ขององค์กษัตริย์บ๋าวด่าย ซึ่งเป็นองค์
กษัตริย์สมัยที่ 13 หรือกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหวียง ซึ่งเป็นลูกชายของกษัตริย์องค์ที่ 12
คือ กษัตริย์ขายดิก และวันนั้นก็ถือเป็นวันสิ้นสุดการปกครองระบอบกษัตริย์ เปลี่ยนมาปกครองแบบ
ระบบประธานาธิบดีจนปัจจุบัน
เมื่อเข้าไปในตำหนัก กล่าวว่า สมัยที่ราชวงศ์เหงียนสร้างตำหนักนี้ใหม่ๆ ทุกอย่างจะเป็นทองคำแท้
เมื่อเข้าไปในตำหนัก กล่าวว่า สมัยที่ราชวงศ์เหงียนสร้างตำหนั
ทั้งหมด แต่เมื่อฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนามในปี พ.ศ.2402 ทุกอย่างที่เป็นทองคำฝรั่งเศสจะถอด
ไปหมดแล้วแทนด้วยทองชุบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น