เข็มนาฬิกา บอกเวลาของวันใหม่ จะตีหนึ่งแล้ว แซมยังไม่วี่แววว่าจะกลับมาถึงบ้านสักที ภูมิได้แต่นอนรอคอย เมื่อไหร่หนอเขาจะกลับมาสักที สายตามองไปยังที่นอนข้างๆที่ปราศจากเจ้าของที่นอน เหลือไว้เพียงความโดดเดียว
คิดถึงผู้เป็นพี่ชายสุดหัวใจ ด้วยความเพลียร่างบางจึงเผลอหลับไป
แซมกลับมาถึงบ้านก็ปาเข้าไปตีหนึ่งครึ่ง ร่างสูงมองหาใครคนหนึ่งที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน สายตากวาดไปทั่วบริเวณบ้าน มองหาเป็นสิ่งแรกทันที ที่เปิดประตูบ้านเข้ามา
ร่างของใครคนหนึ่งกับการนอนที่คุ้นเคย หลับนิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจเป็นที่สุด ที่คนรักยังไม่ได้หนีจากไปไหน
ปลายเท้าที่สัมผัสกับพื้นบ้าน ที่ชายหนุ่มบรรจงระมัดระวังวางปลายเท้าให้เบาที่สุด ชายหนุ่มยืนจ่องมองร่างบางที่หลับใหลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเข้าห้องน้ำชำระร่างกาย
วันนี่เป็นอะไรที่แย่ที่สุดสำหรับตัวเขา ชายหนุ่มรู้สึกผิด รู้สึกเสียใจที่ตนไปต่อว่า พูดจาว่าร้าย ป้ายสีผู้เป็นน้องชายอันเป็นที่รักยิ่ง แต่ที่ทำไปก็ด้วยเหตุผลของผู้ชายคนหนึ่งที่ทนเห็นคนที่ตนเองรัก ไปชิดใกล้กับชายอื่น
แซมเอนตัวลงนอนเคียงคู่กายแบบแนบชิดอย่างแผ่วเบา กลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาซะก่อน
แต่ไม่วายพลาดซะจนได้ ไหล่กว้างรู้สึกว่านอนทับกับสิ่งๆหนึ่ง และคำตอบก็เผยออกมาทันที ร่างบางร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด อย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มมองไปที่ผู้เป็นน้องชายที่นำมืออีกข้างประคองจับไปที่ต้นแขน ที่เขียวช้ำ บวม เพราะฝีมือของตนเองเมื่อหัวค่ำนี่เอง
แต่ไม่วายพลาดซะจนได้ ไหล่กว้างรู้สึกว่านอนทับกับสิ่งๆหนึ่ง และคำตอบก็เผยออกมาทันที ร่างบางร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด อย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มมองไปที่ผู้เป็นน้องชายที่นำมืออีกข้างประคองจับไปที่ต้นแขน ที่เขียวช้ำ บวม เพราะฝีมือของตนเองเมื่อหัวค่ำนี่เอง
แซมรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น ที่ตนไปทำให้คนที่ตนรักต้องเจ็บปวดกาย และใจ เขารีบลุกขึ้นไปหยิบยานวดแก้บวมช้ำอย่างรีบเร่ง
“เจ็บไหม”
“ไม่หรอก”
“พี่ขอโทษนะ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับทายาลงไป สัมผัสลูบคลำ ผิวบริเวณที่ต้นแขนที่เขียวช้ำ อย่างแผ่วเบามือ
ไม่มีเสียงพูดใดใดออกจากปากของผู้เป็นน้องชาย นอกจากสีหน้าที่บูดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวด
“พี่เบาๆดิ”
“โทษที ขอโทษ” ชายหนุ่มคิดว่าแค่จับนวด พยายามให้เบามือที่สุด แต่ก็ไม่วายให้น้องชายต้องเจ็บ
“เป็นไง .... ดีขึ้นยัง” ชายหนุ่มเอ๋ยถามออกไปด้วยความรู้สึกที่เป็นห่วงเป็นใยสุดชีวิต สีหน้าวิตกกังวลของเขานั้นแสดงถึงความรับผิดชอบอย่างจริงใจ และยอมรับผิดทุกอย่าง
“เป็นไง .... ดีขึ้นยัง” ชายหนุ่มเอ๋ยถามออกไปด้วยความรู้สึกที่เป็นห่วงเป็นใยสุดชีวิต สีหน้าวิตกกังวลของเขานั้นแสดงถึงความรับผิดชอบอย่างจริงใจ และยอมรับผิดทุกอย่าง
ภูมิจ่องมองไปที่ใบหน้าคมเข้ม หล่อเหลาที่ตอนนี่ดูเศร้าใจเป็นหนักหนา จนตัวเองต้องเผลอหัวเราะ ขำออกมา
“ภูมิไม่ได้เป็นอะไรมากมายขนาดนั้น พี่แซมสบายใจได้” ภูมิพูดไปพร้อมกับหัวเราะไป ก่อนที่ร่างสูงใหญ่หรี่แสงไฟลง จนสลัวๆ มองเห็นอีกฝ่ายที่เอนตัวนอนลงไปเรียบร้อย
“แกล้งพี่เหรอ”
ชายหนุ่มขยับตัวลงนอน แต่เบี่ยงออกห่างจากคู่นอนข้างๆ เกรงว่าจะไปถูกแขนที่กำลังบวมช้ำอยู่ สองพี่น้องต่างไม่พูดอะไรนานนับสิบนาที โดยที่ตายังไม่ได้หลับ กลับคิดอะไรต่อมิอะไรมากมายในชีวิต
“พี่แซม”
“หืม”
“ภูมิรู้นะ ว่าพี่แซมยังไม่ได้หลับ .. ภูมิมีเรื่องสำคัญจะบอกพี่แซม”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร แต่กลับเงี่ยหูรอฟังว่าคนข้างๆจะพูดว่าอะไร
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร แต่กลับเงี่ยหูรอฟังว่าคนข้างๆจะพูดว่าอะไร
“ภูมิอยากบอกพี่แซมว่า ภูมิมีความสุขมาก......มากเลยนะ....... มันเป็นความสุขที่ได้รับมาอย่างที่ภูมิเองไม่เคยได้รับมาก่อน .....ความสุขที่ภูมิเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร.... พี่แซมเป็นพี่ชาย...ที่แสนดีของภูมิ… และภูมิก็รักพี่มากมาก รักมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยรักใครเท่านี่มาก่อน ........อนาคตข้างหน้า.......ภูมิไม่รู้.....ไม่รู้ว่าหากวันหนึ่งภูมิไม่ได้อยู่กับพี่แล้ว ภูมิเองจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ภูมิดีใจ ดีใจที่ได้รู้จักพี่แซมแม้ว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆก็ตาม”
“ภูมิพูดเหมือนกับว่าจะหนีพี่ไปไหน”
“ภูมิไม่ได้หนีพี่ไปไหนหรอก” ภูมิรีบแจงขึ้นมาทันที อยากให้ผู้เป็นพี่ชายสบายใจมากที่สุด
“ภูมิหมายถึง สักวันหนึ่งเราสองคนก็ต้องแยกจากกันอยู่ดี” ภูมิหันหน้ามองไปที่ชายหนุ่ม ที่กำลังมองมาที่ตนเช่นกัน
“พี่ไม่ให้ภูมิไปไหนหรอก ภูมิจะต้องอยู่กับพี่ตลอดไป เพราะภูมิคือทุกสิ่งทุกอย่างของพี่ ”
“หุหุ..... เอาซะหวานเชียว เขินนะนี่ ”
“พี่พูดจริงๆนะ”
“แล้วถ้าสมมุติว่าวันหนึ่ง ภูมิเกิดไม่อยู่ขึ้นมาจริงๆ พี่จะทำยังไงละ” ภูมิทำหน้าล้อเล่นตรงข้ามกับใจที่ถามอย่างจริงจัง
“พี่กำลังจะบอกว่า พี่คงอกแตกตายเลย ใช่ไหม พี่” ภูมิดักตอบคำซะก่อนที่ผู้เป็นพี่ชายจะตอบ หากแต่อีกฝ่ายตอบตามมาทีหลัง
“ถ้าภูมิหนีพี่ไป พี่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่เพื่ออะไร พี่คงจะตามหาภูมิให้เจอ เพราะภูมิมีความสำคัญกับพี่มากที่สุด ในตอนนี้”
ชายหนุ่มพูดพร้อมกับน้ำเสียงที่มันคงจริงจัง"
ชายหนุ่มพูดพร้อมกับน้ำเสียงที่มันคงจริงจัง"
“แหม......พี่แซมพูดยังกะภูมิเป็นคนรักของพี่ เป็นแฟนของพี่ ....ที่พี่รักมากยังไงยังงั้น”
แซมอยากจะบอกภูมิซะเหลือเกินว่า เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ นับวันยิ่งแต่เพิ่มมากขึ้นทวีคุณ ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งพร้อมกับขยับตัวเข้ามาชิดใกล้ร่างบางที่นอนราบกับพื้น ตาจ่องมองไปที่ดวงตา
“ภูมิ..”
“หืม....”
“ถ้าพี่จะบอกว่าพี่คิดกับภูมิแบบนั้นจริงๆ ภูมิจะเชื่อพี่ไหม” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง ดวงตาทั้งคู่แผงไปด้วยความเชื่อมั่นในคำพูดของเขา ที่พูดออกมาจากปาก และส่งมาจากหัวใจ
ภูมิได้ยินถึงกันนอนไม่ติดกับที่นอนเช่นกัน ร่างบางค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นมา พร้อมกับฟาดฝ่ามือน้อยๆตีลงเบาๆไปที่หัวไหล่ของชายหนุ่ม
“พูดเป็นหนังอินเดีย รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“นี่ภูมิไม่รู้จริงๆเหรอ ว่าตลอดเวลาที่พี่ทำ สิ่งที่พี่ทำไปทั้งหมดมันหมายความว่าอะไร”
แซมพูดพร้อมกับขยับตัวเข้ามานั่งชิดภูมิมากยิ่งขึ้น จนอีกฝ่ายใจเต้นระทึก
“พี่รักภูมิ”
แซมสารภาพรัก เป็นครั้งแรก หลังจากที่เก็บความรู้สึกนี่ไว้ในใจนานแสนนาน
ภูมิรู้สึกเหมือนหูฝาด อึ้งตกใจจนคิดอะไรไม่ออก รู้ตัวอีกทีร่างบางก็ถูกกอดเข้าสู่อ้อมอกอุ่นจากผิวกายที่ไร้อาภรณ์ที่ตึงเครียดไปด้วยกล้ามเนื้อแน่น ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มโน้มลงมาชิดติดกับใบหน้าของภูมิห่างกันไม่ถึงคืบ
“พี่แซมเป็นเกย์เหรอ” ภูมิพูดพร้อมกับเอียงหน้าหนีหน้าคมเข้มที่ขยับเข้ามาชิดแก้มนวลอย่างได้โอกาส
“พี่ไม่รู้ว่าพี่เป็นหรือเปล่า แต่ถ้าต้องเป็นเพราะว่า ได้รักภูมิ ต่อให้เป็นอะไรที่มากกว่านี่พี่ก็จะเป็น พี่ยอมทุกอย่าง”
กอดหลวมๆเริ่มรัดแน่นมากยิ่งขึ้น จมูกโด่งๆควานหาความหอมหวานไปทั่วบริเวณ หนวดเคราที่งอกขึ้นมาใหม่ๆ ทำให้ผู้เป็นน้องชายถึงกับสะท้าน ขนลุกไปทั้งตัว ขณะที่ผู้เป็นพี่ชายกลับได้โอกาสสำรวจความหอมหวานจากแก้มนวลอย่างถ้วนถี่
และท่าทางจะเอาจริง เริ่มลามพื้นที่มากยิงขึ้น
“พี่แซมเมาเหล้าแน่แน่เลย” ภูมิพูดเพราะเกรงว่าคำพูดที่ได้ยินมาทั้งหมดเกิดเพราะความเมา หากแต่ชายหนุ่มกลับสนใจแต่ความหอมหวานของแก้มเนียนและซอกคอขาวเนียนอย่างติดใจ
“พี่ไม่ได้เมา พี่มีสติครบทุกอย่าง พี่อยากจะบอกภูมินานแล้ว แต่กลัว..กลัวว่าภูมิไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับพี่”
“พี่ไม่ได้เมา พี่มีสติครบทุกอย่าง พี่อยากจะบอกภูมินานแล้ว แต่กลัว..กลัวว่าภูมิไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับพี่”
“พี่แซมไม่.....อย่า....” เสียงเรียกร้องห้ามปราม ผู้เป็นพี่ชายที่กอดรัดจูบไซร้หนักมากขึ้น
“คืนนี่ พี่จะทำให้ภูมิรู้ว่า พี่รักภูมิมากเท่าได”
“พี่แซมแกล้งภูมิเล่นใช่ไหม” ภูมิพูดพร้อมๆกับพยายามเอียงหน้าหนีจากจมูกโด่ง และริมฝีปากฉับไว หากแต่ชายหนุ่มกลับประคองร่างบางให้นอนราบลงกับพื้น โดยมีร่างของตนตามลงมา ใบหน้าคมเข้มขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นจนชิดใบหูสะอาด “พี่ไม่ได้แกล้ง พี่จะทำให้ภูมิรู้ว่าพี่รักภูมิจริงๆ” พูดเสร็จ ชายหนุ่มก็ไซร้จมูกและริมฝีปากไปที่ใบหู ซอกคอขาวเนียน
ริมฝีปากของชายหนุ่มบดเคล้ากับริมฝีปากอ่อนนุ่มที่กำลังสั่นระริก จูบของชายหนุ่มช่างอ่อนโยน ชายหนุ่มค่อยๆสอดแทรกลิ้นเข้าไปข้างในช้าๆ ค่อยๆจูบ ค่อยๆเป็นค่อยไป สอนรักให้กับคนรักอย่างชื่นใจ
ผู้เป็นน้องชายเมื่อถูกสัมผัสที่อ่อนโยน และหนักหน่วงสลับคละเคล้าเกินไป เป็นเพราะหัวใจรักที่ตรงกัน ทำให้สนองรับจูบตอบกลับอย่างไม่รู้ตัวด้วยความไร้เดียงสา การตอบสนองทำให้อารมณ์รักในตัวของชายหนุ่มก่อตัวขึ้นอย่างเต็มเปี่ยม จากจูบที่แผ่วเบา ก็เริ่มหนักขึ้นทีละนิด หนักขึ้น หนักมากขึ้นจนผู้เป็นน้องชายแทบจะสำลักรสจูบที่หนักหนวงของผู้เป็นพี่ชาย ที่กำลังโหยหา เหมือนคนที่อดอยากหิวกระหายรสรักซะเนินน่านเต็มเปี่ยม
เนิ่นนานซะเหลือเกิน กว่าที่จะชายหนุ่มจะถอนริมฝีปาก แซมมองไปที่ริมฝีปากบางที่พึ่งผละออก ซึ่งแดงซ่านจากรสจูบอันหนักหน่วงของตน และมีความต้องการ รู้สึกหิวกระหายต้องการที่จะทำมากกว่าการจูบ
“พี่รักภูมิ นะ........ภูมิให้พี่นะ...” ชายหนุ่มเอ๋ยขอ.......อย่างตรงๆ ซึ่งๆหน้า
ภูมิได้หลบหน้าด้วยความอาย เสื้อกล้ามตัวหลวมๆที่สวมอยู่ หลุดออกจากตัวไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เผยผิวขาวเนียนสวยชวนใจเร้าอารมณ์ชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น ดอกบัวน้อยๆสีชมพูเป็นที่ตรึงตราตรึงใจแก่สายตา
“ไม่ต้องกลัวนะคนดี”
จูบหนักหนวงเริ่มขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มใช้ลิ้นดูดควานหาความหอมหวานแอร่มอย่างไม่หยุดหย่อน มือของชายหนุ่มเริ่มสัมผัสลูบไล้กับเนื้อตัว ผิวกายนุ่มๆ จนร่างบางสั่นสะท้านตามธรรมชาติ ภูมิไม่รู้ว่าแซมเอาเวลาตอนไหนจัดการกับกางเกงขาสั้นของเขาและตนเอง เหลือเพียงแค่ร่างที่เปลือยที่ขาวนวลเนียนอย่างเห็นได้ชัดจากเงาตะคุม
แซมไม่ปล่อยให้ร่างงามรอดพ้นจากรสจูบและสัมผัสแผ่วเบาอ่อนโยนแม้แต่นิดเดียว จูบไซ้หนักเบาสลับคละเคล้ากันไปทั่วกาย ลีลารักที่สั่งออกมาจากหัวใจ ทำให้ผู้เป็นน้องชายถึงกับสั่นสะท้าน ตอบสนองเผลอไผลรสรักอย่างไร้เดียงสา
ชายหนุ่มผู้เป็นพี่ชายค่อยๆสอนรักให้กับภูมิ จนท้ายที่สุดชายหนุ่มก็ไม่สามารถหักห้ามอารมณ์ปรารถนาอันแรงกล้าได้ ***********************************************************************************
ตอนที่ 9 รักครั้งสุดท้าย สุดท้ายที่ได้รัก
ร่างของภูมิผู้เป็นน้องชายในอ้อมกอดของแซมพี่ชายสุดที่รักยังคงฝังตรึงอยู่ในใจ ภูมิยื่นนิ้วมือบีบที่จมูกโด่งของชายหนุ่ม พร้อมกับกัดจูบหนักๆไปที่ต้นคอของชายหนุ่มสุดแรง หลังจากที่รู้สึกตื่นขึ้นมาในยามเช้า ซึ่งแซมเองตื่นมาตั้งนานแล้วพร้อมกับสิ่งๆหนึ่ง ทำได้แค่เพียงแต่หลับตาเฉยๆ
“โอ๊ยเจ็บนะ” แซมแกล้งร้องโอดครวญ ก่อนที่พลิกตัวคร่อมร่างบาง
“ร้ายนักใช่ไหม อย่างนี่ต้องโดนลงโทษ” แซมพูดกระซิบข้างใบหูพร้อมๆกับจูบไซร้ที่ใบหูไปมา โดยที่อีกฝ่ายได้แต่ดิ้นขลุกขลิกในอ้อมกอด
“ร้ายนักใช่ไหม อย่างนี่ต้องโดนลงโทษ” แซมพูดกระซิบข้างใบหูพร้อมๆกับจูบไซร้ที่ใบหูไปมา โดยที่อีกฝ่ายได้แต่ดิ้นขลุกขลิกในอ้อมกอด
“ภูมิรักพี่รักเปล่า” ชายหนุ่มเลยหน้าขึ้นให้โอกาสให้คนรักได้เตรียมกายเตรียมใจ
“รัก” ภูมิตอบพร้อมกับรีบพลิกตัวหนี จากจูบที่วุ่นวายไปทั่วใบหน้า และซอกคอ
“พอแล้วพี่แซม”
“พอแล้วพี่แซม”
“อีกนิด” ชายหนุ่มโน้มหน้าคมเข้มลงไปใหม่ แต่โดนมือนุ่มดันใบหน้าเอาไว้ซะก่อน
“พอแล้ว”
แซมไม่ฟังคำขอของน้องชายที่รัก แต่กลับกอดจูบร่างบางอีกครั้ง บทรักบรรเลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ทั้งสองร่วมด้วยช่วยกัน
แซมไม่ฟังคำขอของน้องชายที่รัก แต่กลับกอดจูบร่างบางอีกครั้ง บทรักบรรเลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ทั้งสองร่วมด้วยช่วยกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น